ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของนางสาว บงกช เพ่งหารัพย์ คะ

วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียนครั้งที่ 16
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 เวลา 08:30 – 12:30 น.


ขาดเรียนครั้งที่ 1

โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program)
แผน IEP
     แผนการศึกษาที่ร่างขึ้นเพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขาด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก

การเขียนแผน IEP
คัดแยกเด็กพิเศษ
ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
เด็กสามารถทำอะไรได้  / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP

IEP ประกอบด้วย
ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน


ประโยชน์ต่อเด็ก
ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ

ประโยชน์ต่อครู
เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ
ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน

ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล
รายงานทางการแพทย์
รายงานการประเมินด้านต่างๆ
บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การจัดทำแผน
ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การกำหนดจุดมุ่งหมาย
ระยะยาว
ระยะสั้น

จุดมุ่งหมายระยะยาว
กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้
จุดมุ่งหมายระยะสั้น
ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์

จะสอนใคร
พฤติกรรมอะไร
เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)

พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน
ใคร   
อะไร    
เมื่อไหร่ / ที่ไหน 
ดีขนาดไหน 

3. การใช้แผน
เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึงขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก

4. การประเมินผล
โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล
















บันทึกการเรียนครั้งที่ 15
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 เวลา 08:30 – 12:30 น.



***ไม่มีการเรียนการสอน  เนื่องจากนักศึกษาไปเข้าค่ายลูกเสือ***





บันทึกการเรียนครั้งที่ 14
วันศุกร์ที่ 14  เมษายน 2560 เวลา 08:30 – 12:30 น.


***ไม่มีการเรียนการสอน  เนื่องจากวันหยุดสงกรานต์***



















บันทึกการเรียนครั้งที่ 13
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 เวลา 08:30 – 12:30 น.


***ไม่มีการเรียนการสอน  เนื่องจากอาจารย์ติดงานราชการ***











บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 เวลา 08:30 – 12:30 น.



***ไม่มีการเรียนการสอน  เนื่องจากอาจารย์ลากิจ***




บันทึกการเรียนครั้งที่ 11
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560 เวลา 08:30 – 12:30 น.


เนื้อหาการเรียนการสอน


         การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด
เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)
1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
เกิดผลดีในระยะยาว
เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทาง
วิชาการ
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล   (Individualized Education Program; IEP)
โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน

2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน (Activity of Daily Living Training)
การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)

 3. การบำบัดทางเลือก
การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy) นิยม
ดนตรีบำบัด (Music Therapy) นิยม
การฝังเข็ม (Acupuncture)
การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)

กิจกรรมมือของฉัน
        


        อาจารย์ได้ห้ทำกิจกรรมมือของฉัน คือ ให้ทุกคนๆวาดมือของตัวเองโดยใส่รายละเอียดทุกอย่าของมือตัวเองวาดให้ได้เหมือนจริงและไม่ให้ดูลายเส้นมือของตนเอง โดยไม่ให้เขียนชื่อลงไป  จากนั้น ก็ให้เพื่อนคนอื่นสุ่มจับมาแล้วหาเจ้าของภาพวาดมือนั้นเป็นของใคร
กิจกรรมนี้ เปรียบเสมือนการสังเกตเด็ก เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมควรรีบจดบันทึก อย่าคิดว่าเราจำได้เพราะขนาดมือที่อยู่กับเราทุกวันเรายังจำรายละเอียดไม่ได้เลย

การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies)
โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS)
เครื่องโอภา (Communication Devices)
โปรแกรมปราศรัย

Picture Exchange Communication System (PECS)





การประเมิน
ประเมินตนเอง  วันนี้เข้าเรียนตรงเวลาแลตั้งใจฟังขณะอาจารย์สอน และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
ประเมินเพื่อน  วันนี้เพื่อนๆทุกคนเข้าเรียนตรงเวลาและตั้งใจเรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดี
ประเมินอาจารย์  อาจารย์ได้นำกิจกรรมที่สนุกและน่าสนใจมาให้ได้ทำ ทำให้บรรยากาศในการเรียนการสอนไม่น่าเบื่อ อาจารย์เข้าสอนตรงเวลาและแต่งกายสุภาพเรียบร้อย















บันทึกการเรียนครั้งที่ 10
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560 เวลา 08:30 – 12:30 น.

เนื้อหาการเรียนการสอน


การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
รูปแบบการจัดการศึกษา
การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
การศึกษาพิเศษ (Special Education)
การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
 •เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่างท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน

 ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
การศึกษาสำหรับทุกคน
รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการ
พิเศษของเขา
เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All)
การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดย
ไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่าง
เหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ รวมกันที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับ
ซึ่งกันและกัน
ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วม
กันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก

ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
•“สอนได้
เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด

        ต่อมาเป็นกิจกรรมที่อาจารย์ได้ให้วาดภาพดอกบัวโดย ให้เราสังเกตความละเอียดของภาพวาดให้ได้เหมือนที่สุด


ดอกบัว เปรียบเสมือนการสังเกตเด็ก ที่เราต้องสังเกตเด็กอย่างละเอียดและมีความครบถ้วนสมบูรณ์

บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม
ครูไม่ควรวินิจฉัย
การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก(จะทำให้เด็กรู้สึกมีปมด้อย)
เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา

ครูทำอะไรบ้าง?
ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ

สังเกตอย่างมีระบบ
ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

การบันทึกการสังเกต
การนับอย่างง่ายๆ
การบันทึกต่อเนื่อง
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

การนับอย่างง่ายๆ
นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

การบันทึกต่อเนื่อง
ให้รายละเอียดได้มาก
เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
บันทึกลงบัตรเล็กๆ
เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ




การตัดสินใจ
ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่

การประเมิน
ประเมินตนเอง  ตั้งใจเรียนไม่พูดไม่คุยให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมอย่างดี
ประเมินเพื่อน  วันนี้ทุกคนตั้งใจเรียนและไม่ส่งเสียงดังในเวลาเรียน
ประเมินอาจารย์  อาจารย์มีกิจกรรมที่น่าสนใจและมีเทคนิคในการสอนที่น่าสนใจ