ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของนางสาว บงกช เพ่งหารัพย์ คะ

วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
วัน ศุกร์ ที่ 20 มกราคม พ.ศ.2560 เวลา 8:30 12 : 30 น.


บันทึกการเรียนการสอน
        วันนี้อาจารย์ได้สอนเกี่ยวกับประเภทของเด็กพิเศษ โดยอาจารย์ได้คำถามจากความรู้เดิมที่เราเคยเรียนมา ว่า เด็กพิเศษ มีกี่ประเภท เนื้อหาในการเรียนการสอนมีดังนี้
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า เด็กปัญญาเลิศเด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา และมีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
·       พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
·       เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
·       อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
·       มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
·       จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
·       มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
·       เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
·       มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
 2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่า
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน  มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า  - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
      - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
      - ขาดทักษะในการเรียนรู้
      - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
                 - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
1.ภายนอก
·       เศรษฐกิจของครอบครัว
·       การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
·       สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
·       การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
·       วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
·       พัฒนาการช้า
·       การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า  ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย และต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34  ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ  กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49  พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้และ สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้  เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในระดับประถมศึกษาได้  และสามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้  เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
·       ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
·       ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
·       ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
·       ทำงานช้า
·       รุนแรง ไม่มีเหตุผล
·       อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
·       ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ  เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
·       ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น
·       หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
·       ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
·       ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
·       เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
·       ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
·       มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
·       เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
·       ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
·       มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
·       บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
·       อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
·       มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
·       อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง แต่ผู้หญิง สามารถที่จะตั้งครรภ์ได้
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
·       การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
·       อัลตราซาวด์  
·       การตัดชิ้นเนื้อรก
·       การเจาะน้ำคร่ำ
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน  มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง  หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด  จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้  และมีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด  เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน  มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน  และมีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ  พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก  ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียงเด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง และเด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน  เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้ ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ 
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
·       ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
·       ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
·       พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
·       พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
·       พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
·       เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
·       รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
·       มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments) เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้างสามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา  จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด  เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้  มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท  เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา  สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
·       เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
·       มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
·       มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
·       ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
·       เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
·       ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
·       มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
การประเมิน
ประเมินตนเอง วันนี้ตั้งใจเรียนพอสมควร แต่อาจจะมีแอบคุยกับเพื่อนบ้างแต่ก็สามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่อาจารย์สอนได้อย่างเข้าใจ
ประเมินเพื่อน วันนี้เพื่อนๆทุกคนน่ารักมากันอย่างพร้อมเพียงทุกคนตั้งใจเรียนกันเป็นอย่างดีและให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์ อาจารย์มีความตรงต่อเวลาในการเข้าสอนอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มอาการของเด็กพิเศษได้อย่างเข้าใจมีการนำคลิปมาให้นักศึกษาได้ดูทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นและทำให้นักศึกษาเกิดความสนใจเกี่ยวกับเด็กพิเศษ ในการทำ powepoint ได้น่ารักและสวยงาม เวลาอ่านแล้วรู้สึกสบายตาดีค่ะ





           














           









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น