บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
วัน ศุกร์ ที่ 20 มกราคม พ.ศ.2560 เวลา 8:30 – 12
: 30 น.
บันทึกการเรียนการสอน
วันนี้อาจารย์ได้สอนเกี่ยวกับประเภทของเด็กพิเศษ
โดยอาจารย์ได้คำถามจากความรู้เดิมที่เราเคยเรียนมา ว่า เด็กพิเศษ มีกี่ประเภท
เนื้อหาในการเรียนการสอนมีดังนี้
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ” เด็กปัญญาเลิศ (Gifted
Child)เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา และมีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
· พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
· เรียนรู้สิ่งต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
· อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง
ชอบซักถาม
· มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
· จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
· มีความคิดริเริ่ม
มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
· เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว
และช่างสังเกต
· มีแรงจูงใจ
และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่า
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.
เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6.
เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา
หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า
และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า -
สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
-
ขาดทักษะในการเรียนรู้
-
มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
-
มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
1.ภายนอก
·
เศรษฐกิจของครอบครัว
· การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
· สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
· การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
· วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2.
ภายใน
· พัฒนาการช้า
· การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย และต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R
(Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้และ
สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable
Mentally Retarded)
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในระดับประถมศึกษาได้
และสามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้ เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable
Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
· ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
· ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
· ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย
รอคอยไม่ได้
· ทำงานช้า
· รุนแรง ไม่มีเหตุผล
· อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
· ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่
21 ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
· ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
· หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
· ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
· ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ
รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
· เพดานปากโค้งนูน
ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
· ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
· มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
· เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
· ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
· มีความผิดปกติในระบบต่างๆ
ของร่างกาย
· บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
· อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง
เป็นมิตร
· มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
· อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
แต่ผู้หญิง สามารถที่จะตั้งครรภ์ได้
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
· การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
· อัลตราซาวด์
· การตัดชิ้นเนื้อรก
· การเจาะน้ำคร่ำ
2.
เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired
) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน
เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง
และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง หมายถึง
เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย
ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล
ๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง
ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง
3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ และมีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด
ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่
56-70 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
และมีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง
ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียงเด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง และเด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ
บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก หมายถึง
เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
· ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
มักตะแคงหูฟัง
· ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
· พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
· พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
· พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
· เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด
หรือจ้องหน้าผู้พูด
· รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน
และการเคลื่อนไหวรอบตัว
· มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3.
เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual
Impairments) เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้างสามารถเห็นได้ไม่ถึง
1/10 ของคนสายตาปกติ มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า
5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200
หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
· เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
· มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
· มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย
คันตา
· ก้มศีรษะชิดกับงาน
หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
· เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง
เมื่อใช้สายตา
· ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
· มีความลำบากในการจำ
และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
การประเมิน
ประเมินตนเอง วันนี้ตั้งใจเรียนพอสมควร
แต่อาจจะมีแอบคุยกับเพื่อนบ้างแต่ก็สามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่อาจารย์สอนได้อย่างเข้าใจ
ประเมินเพื่อน
วันนี้เพื่อนๆทุกคนน่ารักมากันอย่างพร้อมเพียงทุกคนตั้งใจเรียนกันเป็นอย่างดีและให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มีความตรงต่อเวลาในการเข้าสอนอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มอาการของเด็กพิเศษได้อย่างเข้าใจมีการนำคลิปมาให้นักศึกษาได้ดูทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นและทำให้นักศึกษาเกิดความสนใจเกี่ยวกับเด็กพิเศษ
ในการทำ powepoint ได้น่ารักและสวยงาม
เวลาอ่านแล้วรู้สึกสบายตาดีค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น